เก้าอี้อาถรรพ์! ก็เป็นอันว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด กลายเป็นกุนซืออีกรายของ เชลซี ในยุคของ โรมัน อบราโมวิช ที่ไม่สามารถอยู่กับทีมได้จนครบสัญญา หลังจากที่ล่าสุดเขาโดนปลดออกจากตำแหน่งทั้งที่เพิ่งทำงานได้เพียงราว 1 ฤดูกาลครึ่ง ส่วนเรื่องปัจจัยมีการลือกันหลายแบบ ทั้งเรื่องผลงานที่น่าผิดหวัง และปัญหาบาดหมางภายในทีม
ที่แน่นอนก็คือมันเป็นอีกครั้งที่เก้าอี้กุนซือของ เชลซี ถือเป็นเก้าอี้ที่สุดแสนจะอันตราย เพราะที่ผ่านมา “เสี่ยหมี” ใช้บริการกุนซือแบบถาวรถึงหลายคน และวันนี้เรามีเกร็ดบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับกุนซือแบบถาวรของ เชลซี มานำเสนอกัน โดยเราจะไม่ขอนับรวมกับคนที่ได้คุมทีมแบบขัดตาทัพ
– คนที่ได้แข้งใหม่ภายในฤดูกาลเดียวเยอะที่สุด
คนที่ว่าคือ โชเซ่ มูรินโญ่ ภาคฤดูกาล 2013-14 โดยซีซั่นนั้นเขาได้นักเตะระดับที่พร้อมลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ในทันทีที่ได้มาร่วมทีม 7 ครน แบ่งเป็น 5 คนในช่วงซัมเมอร์อย่าง อันเดร เชือร์เล่, มาร์โก ฟาน กิงเคล, มาร์ค ชวาร์เซอร์, วิลเลี่ยน และ ซามูเอล เอโต้ กับอีก 2 คนในตลาดหน้าหนาวอย่าง เนมานย่า มาติช กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
แม้ว่าในตลาดช่วงหน้าหนาวของปี 2014 เชลซี จะได้ คูร์ท ซูม่า มาร่วมทัพเหมือนกัน แต่ มูรินโญ่ ก็ไม่ได้ใช้งานเขาในทันที เพราะ เชลซี ให้ทาง แซงต์-เอเตียน ใช้งานเขาไปต่อจนจบฤดูกาลดังกล่าว โดยทั้ง 7 คนที่ เชลซี ได้ร่วมทัพในซีซั่นนั้นต่างก็ได้รับโอกาสลงสนามกันทั้งหมดด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่ง ชวาร์เซอร์ กับ ฟาน กิง เคล
น่าเสียดายที่ฤดูกาลนั้น เชลซี จบซีซั่นแบบมือเปล่า พวกเขาเป็นเพียงที่ 3 ในลีก, ไปถึงรอบรองชนะเลิศของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, จอดป้ายที่รอบ 5 ของทั้ง เอฟเอ คัพ กับ ลีก คัพ รวมถึงได้แค่รองแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ
– ได้โอกาสเยอะที่สุดกับน้อยที่สุด
แน่นอน แชมป์ในชาร์ตได้รับโอกาสเยอะที่สุดตกเป็นของภาคแรกระหว่าง มูรินโญ่ เชลซี โดยเขาได้โอกาสนำทีมลงเล่นไป 185 นัดจากการลงเล่นในทุกรายการ ส่วนช่วงเวลาที่เขาได้เป็นกุนซือสมัยแรกของที่นั่นเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน ปี 2004 ก่อนจะไปจบในวันที่ 19 กันยายน ปี 2007
ขณะที่อันดับ 2 เป็นของภาคสองของ มูรินโญ่ กับ เชลซี หลังจากได้ทำหน้าที่เป็นกุนซือของที่นั่น 136 เกมจากทุกรายการ ส่วนช่วงเวลาที่เขาได้คุมทีมนั้นอยู่ระหว่างวันที่ 3 มิถุนายน ปี 2013 ไปจนถึงวันที่ 17 ธันวาคม ปี 2015 ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ คาร์โล อันเชลอตติ ที่ได้นำทีมลงเล่น 109 เกม โดยเขาได้อยู่กับทีมตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ปี 2009 ไปจนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2011
ในทางตรงกันข้าม คนที่ได้รับโอกาสน้อยที่สุดคือ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ หลังจากที่เขามีโอกาสทำทีมเพียงแค่ 36 นัดจากการลงเล่นทุกรายการ โดยมี อังเดร วิลลาช-โบอาช ตามมาติดๆ ทมี่ 40 นัด ส่วน โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ได้คุมทีมเพียงแค่ 42 เกม มันช่างเหมือนกับตลกร้ายที่ 3 คนนี้ยังได้คุมทีมน้อยกว่าส ราฟาเอล เบนิเตซ ที่เป็นเพียงกุนซือขัดตาทัพของ เชลซี ด้วยซ้ำ หลังจาก เบนิเตซ ได้คุมทีมไป 48 เกม
– เปอร์เซ็นต์ชนะ
กุนซือที่พา เชลซี ในยุคของ อบราโมวิช พบกับคำว่าชนะเยอะที่สุดหากนับเป็นเปอร์เซ็นต์นั้นมีอยู่ 2 ราย หนึ่งในนั้นคือ มูรินโญ่ ที่ภาคแรกกับทีมเขามีเปอร์เซ็นต์ชนะสูงถึง 67 เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อหรือไม่ว่า อัฟราม แกรนท์ คนที่เข้ามารับงานต่อจาก มูรินโญ่ ก็มีเปอร์เซ็นต์พา เชลซี ชนะเท่ากับ “เดอะ สเปเชียล วัน” เลย
สำหรับกุนซือที่มีเปอร์เซ็นต์ชนะกับ เชลซี มากเป็นอันดับ 3 ได้แก่ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่พาทีมชนะ 65 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วย เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ถึงแม้จะไม่ป็อปปูลาร์ในกลุ่มแฟน เชลซี บางคน แต่ก็ยังพาทีมชนะได้ถึง 62 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่า อันเชลอตติ ที่ทำได้ 61 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
ส่วนคนที่มีเปอร์เซ็นต์พาทีมชนะน้อยที่สุดคือ วิลลาช-โบอาช หลังจากที่เขาพาทีมชนะเพียง 48 เปอร์เซ็นต์ จากการนำทีมลงเล่น 40 นัด ตามมาด้วย แลมพาร์ด ที่เพิ่งโดนเด้งไปเพราะพาทีมชนะได้แค่ 52 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วน เคลาดิโอ รานิเอรี่ ตามมาติดๆ ที่จำนวน 54 เปอร์เซ็นต์